ข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่..) พ.ศ. ….(เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา
โครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan)) โดยชี้แจงว่า
“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบเมื่อวันที่
4 ธันวาคม 2561 นั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี โดยเป็นการแก้ไขกฎหมาย
ให้รองรับการทำธุรกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์
อาทิ การให้ผู้จ่ายเงินได้สามารถเลือกวิธีการน ำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายผ่านตัวกลาง (เช่น ธนาคาร) โดยผู้จ่ายเงินได้ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี
และนำส่งภาษีให้แก่กรมสรรพากรในภายหลังอีก พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี โดยมิได้มุ่งเน้นที่จะ
จัดเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าทางออนไลน์หรือธุรกิจหนึ่งธุรกิจใดเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ได้มีการเปิดรับฟัง
ความเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแล้ว จำนวน 3 ครั้ง ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม 2560
ถึงเดือนกันยายน 2561 ทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (www.rd.go.th) และเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th
ซึ่งมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชนทั่วไปทางเว็บไซต์และทางหนังสือ
จำนวนรวมกว่า 400 ราย โดยในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ กรมสรรพากรได้ประชุมหารือร่วมกับ
สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ รวมถึง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นมาปรับปรุงร่างให้สอดคล้องกับผู้ใช้กฎหมายอย่างแท้จริง
และไม่ก่อให้เกิดภาระเกินสมควร”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวต่อไปว่า “ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ผ่านกระบวนการตรากฎหมาย
อย่างรอบคอบ โดยได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล การรักษาความเป็นส่วนตัว และการรักษา
ความปลอดภัยของข้อมูลอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้
นำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์
สาธารณะ และการจัดเก็บภาษีอากรมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยรายได้ให้รัฐนำไปใช้จัดบริการสาธารณะต่าง ๆ
แก่ประชาชน การรายงานธุรกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตามร่างพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้
เพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งข้อมูลแก่
กรมสรรพากรมิได้ขัดแย้งกับนโยบายสังคมไร้เงินสดของรัฐบาล เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ในปัจจุบันมีความสะดวกรวดเร็วและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และหาก
ผู้ประกอบการมีประวัติทางการเงินที่ถูกต้องและโปร่งใส ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน และการขอ
/สินเชื่อ…
สินเชื่อต่าง ๆ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กรมสรรพากรทราบว่า การรับโอน
เงินผ่านบัญชีธนาคารนั้นมิได้หมายความว่าเงินจำนวนทั้งหมดต้องนำไปเสียภาษี เนื่องจากในหลายกรณีมิได้เป็น
รายได้ที่ต้องเสียภาษี เช่น การคืนเงินกู้ยืม การรับเงินที่ฝากไปทำบุญแทน เป็นต้น โดยกรมสรรพากรจะนำข้อมูล
ที่ได้รับไปประมวลผลร่วมกันกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประกอบการจัดกลุ่มผู้เสียภาษีในการดูแลและให้บริการ